การให้ธรรมะเป็นทานชนะการให้ทานทั้งปวง
สุขะโต สุขะทานัง
ให้สุขแก่ท่าน สุขนั้นถึงตน
คู่มือดับทุกข์ตอนที่ ๔
๓๑. จงจำไว้ว่า ไม่มีสิ่งใดที่จะมาทำให้ท่านเป็นทุกข์ได้ นอกจากความคิดผิดของท่านเอง ถ้าท่านคิดผิด ท่านก็จะเป็นทุกข์ ถ้าท่านคิดถูก ท่านก็จะไม่เป็นทุกข์
๓๒. จงอย่าเชื่อถือสิ่งงมงายไร้เหตุผล เช่น เมื่อมีความทุกข์ หรือเกิดเรื่องไม่ดีไม่น่าปรารถนาขึ้น ก็ไปบนเจ้าที่เจ้าทาง ไปไหว้จอมปลวก ไหว้ต้นไม้ใหญ่ ฯลฯ ปรารถนาจะให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านหลงผิดคิดว่ามีอยู่ในสถานที่เหล่านั้น มาช่วยท่านให้พ้นทุกข์อย่างนี้เป็นต้น นี่คือความงมงาย จงละเลิกมันเสีย เพราะมันจะทำให้ท่านสิ้นเปลืองทรัพย์สินและเวลาโดยไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนให้เชื่อในสิ่งเหล่านั้น ท่านสอนให้สร้างแต่กรรมดี คิดดี ทำดี
๓๓. จงรู้ความจริงว่า เรื่องที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจนี้เป็นธรรมชาติธรรมดาที่มีอยู่ในโลกนี้ บางทีท่านก็ได้ตามที่ปรารถนา แต่บางทีก็ไม่ได้ตามที่ปราถนา มันเป็นของธรรมดาอยู่อย่างนี้เอง อย่าตื่นเตันดีในหรือเสียใจไปกับมัน
๓๔. ตอลดเวลาที่ท่านกำลังทำกิจกรรมอะไรอยู่ จงน้อมจิตให้มองเห็นความสงบที่ท่านเคยพบในการฝึกสมาธิและจงมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของทุกสิ่งทุกอย่างภายนอก จงแยกมันให้ออกว่า สิ่งหนึ่งคือจิตอันสงบของทาน ส่วนอีกสิ่งหนึ่งคือความปรุงแต่งวุ่นวายของโลก สิ่งทั้งสองนี้ มันแยกกันอยู่โดยธรรมชาติของมัน
๓๕. ถ้าท่านไม่มองหาความสงบ แต่หันไปอยากได้ อยากดี กับสิ่งภานยนอก จิตของท่านก็จะสับสนวุ่นวายและเป็นทุกข์ แต่ถ้าท่านมองเห็นความสงบของจิต และควบคุมจิตไม่ให้เกิดความอยากความทะเยอทะยานที่่ไม่รู้จักพอ จิตของท่านก็จะสงบเย็นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าท่านจะยืน เดิน นั่ง หรือนอน ไม่ว่าท่านจะร่ำรวยหรือยากจน แต่จิตของท่านก็จะไม่เป็นทุกข์ เพราะการฝึกจิตด้วยวิธีการนี้
๓๖. จงใช้ปัญญาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งปัญญานั้น หมายถึงความมีสติที่รู้จักประคับประคองจิตให้สะอาดอยู่เสมอ รู้จักทำจิตให้ปล่อยวาง ทำจิตให้โปร่งเบา รู่เท่าทันว่าอะไรถูกอะไรผิด ถ้าผิดท่านจะไม่ทำไม่พูด ถ้าถูกท่านจึงจะทำจะพูด และรู้จักพิจารณาว่าหน้าที่ที่ท่านจะทำกับสิ่งนั้น ๆ คืออะไร แล้วก็ทำหน้าที่นั่นให้ดีที่สุด พยายามแก้ปัญหานั้นให้สงบไปด้วยความบริสุทธิ์ ยุติธรรมและถูกต้องที่สุด โดยไม่เห็นแก่ตัว วสิธีนี้จะทำให้ปัญญาของท่านคมชัด และจะไม่มีความทุกข์อยู่ในจิตเลย
๓๗. ท่านต้องรู้ว่า คนส่วนมากในโลกนี้มีกิเลส คือความโลภ โกรธและหลง ดังนั้น ความผิดถูกของการกระทำต่าง ๆ ย่อมเกิดขึ้นได้ บางทีก็โง่ บาทงทีก็ฉลาด เพราะฉะนั้น ท่านจะต้องให้อภัยเขา ค่อย ๆ พูด ไม่ด่าว่ารุนแรงกับเขา ท่านจะต้องใช้ปัญญาเข้าไปสอนเขา ไปชักจูงเขาให้เดินในทางที่ถูก นี่คือหน้าที่ของผู้มีปัญญาที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนโง่ที่มีอยู่ในโลกนี้เป็นจำนวนมาก ผลที่จะได้รับก็คือ ท่านจะเป็นคนที่มีจิตใจเยือกเย็น และน่าเคารพกราบไหว้ของคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านจะไม่เป็นทุกข์ร้อนเลย แม้ว่าจะพบเห็นหือเกี่ยวข้องกับคนมากมายหลายประเภทในโลกนี้อยู่เสมอ
๓๘. การพิจารณาอย่างต่อเนื่อง แม้ในตอนที่ไม่ได้นั่งสมาธิอย่างนี้ คือการปฏิบัติเพื่อให้เกิดปัญญา ซึ่งปัญญานั้นสูงสุดแล้ว ก็คือความรู้จักปล่อยวาง ไม่แบกหามภาระใด ๆ มาไว้ในใจจนนอนไม่หลับ และเป็นทุกข์นั่นเอง
๓๙. จงจำไว้ว่า การฝึกสมาธินั้น แท้จริงแล้วท่านทำเพื่อให้เกิดปัญญา ซึ่งปัญญานั่นเองที่จะเป็นตัวทำลายความทุกข์ทางใจให้หมดสิ้นไปได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ไม่ใช่เพียงแค่ การอ้อนวอนอธิษฐานเอาอะไร ๆ ตามใจตนเอง
๔๐. จงตั้งใจไว้ว่า ถ้าจะรู้สึกเป็นทุกข์หงุดหงิดเมื่อไร ท่านต้องสลัดมันทิ้งเมื่อนั้น ท่านจะไม่เอาอารมณ์นั้นมาอยู่ในใจ ท่านสลัดอารมณ์ไม่ดีให้หลุดไปได้ ท่านก็จะรู้แจ้งธรรมะ เมื่อนั้น ท่านจะหมดทุกข์เมื่อนั้น ท่านจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดในชิวิตของท่าน ในนาทีที่ท่านสลัดอารมณ์หงุดหงิดไม่สบายออกไปจากใจได้
จบตอนทึ่ ๔ คู่มือดับทุกข์ โดยท่านอิสระ
ขออนุญาต คัดลอกนำมาเผยแพร่โดย
นายณัฐนันท์ วังวีระนุสรณ์
http://nuttanun-wung.com/
23/04/2553
๓๓. จงรู้ความจริงว่า เรื่องที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจนี้เป็นธรรมชาติธรรมดาที่มีอยู่ในโลกนี้ บางทีท่านก็ได้ตามที่ปรารถนา แต่บางทีก็ไม่ได้ตามที่ปราถนา มันเป็นของธรรมดาอยู่อย่างนี้เอง อย่าตื่นเตันดีในหรือเสียใจไปกับมัน
๓๔. ตอลดเวลาที่ท่านกำลังทำกิจกรรมอะไรอยู่ จงน้อมจิตให้มองเห็นความสงบที่ท่านเคยพบในการฝึกสมาธิและจงมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของทุกสิ่งทุกอย่างภายนอก จงแยกมันให้ออกว่า สิ่งหนึ่งคือจิตอันสงบของทาน ส่วนอีกสิ่งหนึ่งคือความปรุงแต่งวุ่นวายของโลก สิ่งทั้งสองนี้ มันแยกกันอยู่โดยธรรมชาติของมัน
๓๕. ถ้าท่านไม่มองหาความสงบ แต่หันไปอยากได้ อยากดี กับสิ่งภานยนอก จิตของท่านก็จะสับสนวุ่นวายและเป็นทุกข์ แต่ถ้าท่านมองเห็นความสงบของจิต และควบคุมจิตไม่ให้เกิดความอยากความทะเยอทะยานที่่ไม่รู้จักพอ จิตของท่านก็จะสงบเย็นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าท่านจะยืน เดิน นั่ง หรือนอน ไม่ว่าท่านจะร่ำรวยหรือยากจน แต่จิตของท่านก็จะไม่เป็นทุกข์ เพราะการฝึกจิตด้วยวิธีการนี้
๓๖. จงใช้ปัญญาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งปัญญานั้น หมายถึงความมีสติที่รู้จักประคับประคองจิตให้สะอาดอยู่เสมอ รู้จักทำจิตให้ปล่อยวาง ทำจิตให้โปร่งเบา รู่เท่าทันว่าอะไรถูกอะไรผิด ถ้าผิดท่านจะไม่ทำไม่พูด ถ้าถูกท่านจึงจะทำจะพูด และรู้จักพิจารณาว่าหน้าที่ที่ท่านจะทำกับสิ่งนั้น ๆ คืออะไร แล้วก็ทำหน้าที่นั่นให้ดีที่สุด พยายามแก้ปัญหานั้นให้สงบไปด้วยความบริสุทธิ์ ยุติธรรมและถูกต้องที่สุด โดยไม่เห็นแก่ตัว วสิธีนี้จะทำให้ปัญญาของท่านคมชัด และจะไม่มีความทุกข์อยู่ในจิตเลย
๓๗. ท่านต้องรู้ว่า คนส่วนมากในโลกนี้มีกิเลส คือความโลภ โกรธและหลง ดังนั้น ความผิดถูกของการกระทำต่าง ๆ ย่อมเกิดขึ้นได้ บางทีก็โง่ บาทงทีก็ฉลาด เพราะฉะนั้น ท่านจะต้องให้อภัยเขา ค่อย ๆ พูด ไม่ด่าว่ารุนแรงกับเขา ท่านจะต้องใช้ปัญญาเข้าไปสอนเขา ไปชักจูงเขาให้เดินในทางที่ถูก นี่คือหน้าที่ของผู้มีปัญญาที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนโง่ที่มีอยู่ในโลกนี้เป็นจำนวนมาก ผลที่จะได้รับก็คือ ท่านจะเป็นคนที่มีจิตใจเยือกเย็น และน่าเคารพกราบไหว้ของคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านจะไม่เป็นทุกข์ร้อนเลย แม้ว่าจะพบเห็นหือเกี่ยวข้องกับคนมากมายหลายประเภทในโลกนี้อยู่เสมอ
๓๘. การพิจารณาอย่างต่อเนื่อง แม้ในตอนที่ไม่ได้นั่งสมาธิอย่างนี้ คือการปฏิบัติเพื่อให้เกิดปัญญา ซึ่งปัญญานั้นสูงสุดแล้ว ก็คือความรู้จักปล่อยวาง ไม่แบกหามภาระใด ๆ มาไว้ในใจจนนอนไม่หลับ และเป็นทุกข์นั่นเอง
๓๙. จงจำไว้ว่า การฝึกสมาธินั้น แท้จริงแล้วท่านทำเพื่อให้เกิดปัญญา ซึ่งปัญญานั่นเองที่จะเป็นตัวทำลายความทุกข์ทางใจให้หมดสิ้นไปได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ไม่ใช่เพียงแค่ การอ้อนวอนอธิษฐานเอาอะไร ๆ ตามใจตนเอง
๔๐. จงตั้งใจไว้ว่า ถ้าจะรู้สึกเป็นทุกข์หงุดหงิดเมื่อไร ท่านต้องสลัดมันทิ้งเมื่อนั้น ท่านจะไม่เอาอารมณ์นั้นมาอยู่ในใจ ท่านสลัดอารมณ์ไม่ดีให้หลุดไปได้ ท่านก็จะรู้แจ้งธรรมะ เมื่อนั้น ท่านจะหมดทุกข์เมื่อนั้น ท่านจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดในชิวิตของท่าน ในนาทีที่ท่านสลัดอารมณ์หงุดหงิดไม่สบายออกไปจากใจได้
จบตอนทึ่ ๔ คู่มือดับทุกข์ โดยท่านอิสระ
ขออนุญาต คัดลอกนำมาเผยแพร่โดย
นายณัฐนันท์ วังวีระนุสรณ์
http://nuttanun-wung.com/
23/04/2553
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น